วัดรินโนจิ (Rinnoji Temple) คือ วัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 1,250 ปี ที่นี่คือดินแดนที่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนา ผสานรวมกันอย่างกลมกลืน หนึ่งในสถานที่สำคัญที่เป็นหัวใจของนิกโก้ และได้รับการยกย่องให้เป็นส่วนหนึ่งของ มรดกโลก UNESCO (UNESCO World Heritage)
วัดรินโนจิไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถาน แต่ยังเป็นหน้าต่างสู่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของญี่ปุ่น เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสำคัญ และเป็นที่ตั้งของสถาปัตยกรรมไม้ที่น่าทึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบและสวนสวยงาม ชวนให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสงบร่มเย็น บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ วัดรินโนจิ ในทุกแง่มุม ตั้งแต่ประวัติความเป็นมาอันน่าสนใจ จุดเด่นที่ไม่ควรพลาด ไปจนถึงข้อมูลการเดินทางและการเข้าชม เพื่อให้คุณวางแผนการเดินทางสู่นิกโก้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แอดไลน์เพื่อวางแผนการท่องเที่ยว
จุดเริ่มต้นแห่งศรัทธา จากกระท่อมสู่ศูนย์กลางศาสนา
เรื่องราวของ วัดรินโนจิ เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 766 โดยพระภิกษุนามว่า ท่านปรมาจารย์โชโด (Shodo Shonin) (ค.ศ. 735-817) ผู้บุกเบิกพระพุทธศาสนาในดินแดนแถบนี้ หลังจากที่ท่านได้ศึกษาธรรมะในเมืองนารา เมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่น ท่านโชโดมีความตั้งใจที่จะสร้างศูนย์กลางทางศาสนาขึ้นที่นิกโก้ แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเดินทางผ่านภูมิประเทศที่ทุรกันดาร แต่ด้วยความมุ่งมั่น ท่านและศิษย์กลุ่มแรกก็สามารถเดินทางมาถึงและสร้างที่พักขึ้น
อาคารหลังแรกที่สร้างขึ้นนั้น ไม่ได้มีความโอ่อ่าใหญ่โต เป็นเพียงกระท่อมหลังเล็กๆ ที่มุงหลังคาด้วยหญ้าแห้ง สะท้อนถึงความเรียบง่ายในช่วงเริ่มต้น แต่ด้วยความศรัทธาและความเพียรพยายามของท่านโชโดและเหล่าศิษยานุศิษย์ พวกท่านได้ค่อยๆ พัฒนาพื้นที่อันสงบเงียบแห่งนี้ให้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจที่สำคัญ
ความรุ่งเรืองและการอุปถัมภ์ ยุคทองของวัดรินโนจิ
ภายในหนึ่งศตวรรษหลังการก่อตั้ง ชื่อเสียงของวัด (ในขณะนั้นยังใช้ชื่ออื่น) ก็เริ่มขจรขจาย ความศักดิ์สิทธิ์และความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้ดึงดูดให้พระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิ แม้กระทั่งจากเกียวโต ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจและวัฒนธรรมในขณะนั้น เดินทางมาเยี่ยมเยือนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ วัดรินโนจิ มีความยิ่งใหญ่และงดงามอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เมื่อตระกูลโทกูงาวะ (Tokugawa) ซึ่งปกครองญี่ปุ่นในฐานะโชกุน (ค.ศ. 1603-1867) ได้ให้การอุปถัมภ์วัดแห่งนี้อย่างเต็มที่ โทกูงาวะ อิเอยาสุ (Tokugawa Ieyasu) โชกุนคนแรก ได้แต่งตั้งมหาเถระเทนไค (Tenkai) ที่ปรึกษาด้านศาสนาที่ท่านนับถือ ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในปี ค.ศ. 1613 และมีบัญชาให้ดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ มหาเถระเทนไคได้ควบคุมการก่อสร้างศาสนสถานที่สำคัญหลายแห่ง รวมถึงการก่อสร้าง ศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine) ที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อเป็นที่สถิตของดวงวิญญาณของอิเอยาสุในฐานะเทพผู้พิทักษ์
ต่อมา โทกูงาวะ อิเอมิตสึ (Tokugawa Iemitsu) หลานชายของอิเอยาสุและโชกุนคนที่สาม ได้สานต่อเจตนารมณ์ในการสนับสนุนวัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในวัดที่สวยงามและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ตามความประสงค์ของท่าน สุสานไทยูอิน (Taiyuin Mausoleum) อันวิจิตรตระการตาจึงถูกสร้างขึ้นภายในพื้นที่วัดรินโนจิเพื่อเป็นที่พำนักสุดท้ายของท่านเอง ความทุ่มเทของผู้นำทั้งสามท่านนี้ คือ อิเอยาสุ, เทนไค และ อิเอมิตสึ ได้รังสรรค์ให้นิกโก้กลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่และสง่างามสืบมา
“นิกโกซัง” การหลอมรวมความเชื่อ สองศาลเจ้า หนึ่งวัด
ในอดีต พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในนิกโก้ไม่ได้ถูกแบ่งแยกชัดเจนอย่างปัจจุบัน วัดรินโนจิ ศาลเจ้านิกโกฟูตาระซัง (Nikko Futarasan Shrine) และ ศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine) เคยรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้การบริหารเดียวกัน เรียกว่า “นิกโกซัง” (Nikkozan) ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิด “ชิมบุตสึ ชูโง” (Shinbutsu Shugo) หรือการผสานความเชื่อระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาชินโต ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของศาสนาในญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษ
อย่างไรก็ตาม หลังจากการสิ้นสุดอำนาจของรัฐบาลซามูไรในปี ค.ศ. 1867 และการปฏิรูปเมจิ รัฐบาลใหม่ได้มีนโยบายแยกศาสนาพุทธและชินโตออกจากกันอย่างชัดเจนในปี ค.ศ. 1871 ศาสนสถานทุกแห่งทั่วประเทศต้องเลือกว่าจะสังกัดศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานของการหลอมรวมความเชื่อ ทำให้นิกโกซังไม่สามารถเลือกทางใดทางหนึ่งได้ง่ายๆ จึงได้มีการแบ่งแยกออกเป็น 3 ส่วน คือ วัดรินโนจิ (พุทธ) ศาลเจ้าฟูตาระซัง (ชินโต) และศาลเจ้าโทโชกุ (ชินโต) กลายเป็นระบบ “สองศาลเจ้า หนึ่งวัด” อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ณ ดินแดนที่ขุนเขาคือพุทธะ
การผสมผสานความเชื่อที่นิกโก้ยังก่อให้เกิดแนวคิดอันเป็นเอกลักษณ์ ศาสนาชินโตให้ความเคารพต่อดวงวิญญาณที่สถิตอยู่ในธรรมชาติ ภูเขาใหญ่ทั้งสามลูกที่โอบล้อมนิกโก้ ได้แก่ ภูเขานันไต (Mt. Nantai) ภูเขาเนียวโฮ (Mt. Nyoho) และภูเขาทาโร (Mt. Taro) จึงได้รับการเคารพบูชาในฐานะเทพเจ้า ในขณะเดียวกัน ตามความเชื่อแบบชิมบุตสึ ชูโง พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์องค์สำคัญ 3 องค์ของ วัดรินโนจิ คือ พระอมิตาภะพุทธเจ้า (Amida Nyorai) พระโพธิสัตว์กวนอิมพันกร (Senju Kannon) และพระโพธิสัตว์กวนอิมเศียรม้า (Bato Kannon) ก็ถูกนับถือว่าเป็นภาคอวตารของเทพเจ้าแห่งภูเขาทั้งสามนี้ และในทางกลับกัน ภูเขาก็เปรียบเสมือนร่างจำแลงของพระพุทธะด้วยเช่นกัน เป็นความเชื่อที่เชื่อมโยงธรรมชาติและศาสนาเข้าไว้ด้วยกันอย่างลึกซึ้ง
ไฮไลท์สำคัญ อาคารซันบุตสึโด (Sanbutsudo Hall) วิหารไม้ใหญ่แห่งนิกโก้
เมื่อมาเยือน วัดรินโนจิ จุดแรกที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดคือ อาคารหลักที่เรียกว่า “ซันบุตสึโด” (Sanbutsudo Hall) หรือ วิหารพระพุทธเจ้าสามพระองค์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาคารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมือง นิกโก้ (Nikko) ตัวอาคารมีสีแดงโดดเด่น ตัดกับรายละเอียดสีเขียวและน้ำเงินตามแบบสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณที่สง่างาม
ภายในวิหารซันบุตสึโด เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเคลือบทองคำขนาดใหญ่ 3 องค์ ซึ่งมีความสูงถึง 8 เมตร ได้แก่
- พระอมิตาภะพุทธเจ้า (Amida Nyorai) ประดิษฐานอยู่ตรงกลาง เป็นตัวแทนของภูเขานันไต (Mt. Nantai)
- พระโพธิสัตว์กวนอิมพันกร (Senju Kannon) ประดิษฐานทางด้านซ้าย (เมื่อมองจากด้านหน้า) เป็นตัวแทนของภูเขาทาโร (Mt. Taro)
- พระโพธิสัตว์กวนอิมเศียรม้า (Bato Kannon) ประดิษฐานทางด้านขวา เป็นตัวแทนของภูเขาเนียวโฮ (Mt. Nyoho)
พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ไม่เพียงแต่มีความงดงามทางพุทธศิลป์ ด้วยพุทธลักษณะที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและความสงบ แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อเรื่องการผสานกันระหว่างพุทธศาสนาและความเคารพต่อธรรมชาติ (ภูเขาทั้งสาม) ของผู้คนในนิกโก้ การได้เข้าสักการะพระพุทธรูปทั้งสามองค์ในวิหารซันบุตสึโด จึงถือเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง
ค่าเข้าชมวิหารซันบุตสึโด 400 เยน (ประมาณ 100-110 บาท) อัตราแลกเปลี่ยนอาจมีการเปลี่ยนแปลง
ด้านนอกวิหาร ยังมี เสาโซรินโต (Sorin-to Pillar) เสาสำริดสูง 13 เมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1643 ตามพระประสงค์ของโชกุนอิเอมิตสึ ภายในบรรจุพระสูตรหลายพันม้วน เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครองวัด
ดื่มด่ำความงาม สวนโชโยเอ็น (Shoyoen Garden) และหอสมบัติ
นอกเหนือจากวิหารหลักแล้ว อีกมุมหนึ่งที่สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน วัดรินโนจิ คือ สวนโชโยเอ็น (Shoyoen Garden) สวนญี่ปุ่นสไตล์เอโดะที่งดงาม ตั้งอยู่ด้านหลังหอสมบัติ (Homotsu-den) สวนแห่งนี้แต่เดิมสร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 เพื่อเป็นอุทยานส่วนพระองค์ของเจ้าชายชูโจ (Prince Shucho)
สวนโชโยเอ็น (Shoyoen Garden) ได้รับการออกแบบอย่างประณีต มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด โขดหิน และตะเกียงหินที่จัดวางอย่างลงตัว ทำให้เกิดบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลาย เหมาะแก่การเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ และในวันที่อากาศดี ผืนน้ำในสระจะสะท้อนภาพทิวทัศน์อันงดงามของสวนราวกับกระจกเงา
สวนแห่งนี้จะมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน) เมื่อใบของต้นเมเปิ้ลจำนวนมากในสวนเปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม และเหลืองสดใส ทำให้ สวนโชโยเอ็น (Shoyoen Garden) กลายเป็นจุดชม ใบไม้เปลี่ยนสี นิกโก้ (Nikko Autumn Leaves) ยอดนิยมแห่งหนึ่ง ในช่วงเทศกาลนี้ ทางวัดมักจะมีการเปิดไฟประดับในตอนกลางคืน (Light Up) เพิ่มความงดงามน่าประทับใจยิ่งขึ้นไปอีก
ใกล้กับสวนโชโยเอ็น เป็นที่ตั้งของ หอสมบัติ (Homotsu-den) ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุล้ำค่าของวัดและที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทกูงาวะราว 30,000 ชิ้น มีอายุย้อนไปถึง 1,250 ปี รวมถึงภาพวาดบนม้วนกระดาษ 59 ม้วน ซึ่งเป็นสมบัติประจำชาติ และงานศิลปะอื่นๆ เช่น ประติมากรรม และม้วนคัมภีร์ต่างๆ
ค่าเข้าชมหอสมบัติและสวนโชโยเอ็น 300 เยน (ประมาณ 80-90 บาท) อัตราแลกเปลี่ยนอาจมีการเปลี่ยนแปลง
สำรวจพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ อาคารและสิ่งสำคัญอื่นๆ ในวัดรินโนจิ
นอกเหนือจากวิหารซันบุตสึโดและสวนโชโยเอ็นแล้ว บริเวณ วัดรินโนจิ ยังประกอบด้วยอาคารและสถานที่น่าสนใจอื่นๆ อีกหลายแห่ง ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และความศรัทธาอันยาวนาน
- สุสานไทยูอิน (Taiyuin Mausoleum) ดังที่กล่าวไปแล้ว นี่คือสุสานของโชกุนโทกูงาวะ อิเอมิตสึ ตั้งอยู่ในบริเวณวัดแต่มีการจัดการแยกต่างหาก มีสถาปัตยกรรมที่วิจิตรตระการตาไม่แพ้ศาลเจ้าโทโชกุ แต่มีความขรึมและสงบกว่า การเข้าชมต้องซื้อบัตรแยก หรือซื้อบัตรรวมกับวิหารซันบุตสึโด หมายเหตุ อาจมีบางวันที่ปิดไม่ให้เข้าชม โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดก่อนเดินทาง
- โกมะโด (Gomado) วิหารสำหรับประกอบพิธีกรรม “โกมะ” หรือพิธีบูชาไฟตามแบบพุทธศาสนานิกายวัชรยาน ซึ่งมีการเผากระดาษหรือแผ่นไม้ที่เขียนคำอธิษฐานเพื่อส่งไปยังพุทธเทพเจ้า
- โจเกียวโด (Jogyodo) และ ฮกเคะโด (Hokkedo) หอคู่สำหรับปฏิบัติธรรม เดิมสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 848 โดยพระภิกษุเอ็นนิน ใช้สำหรับการปฏิบัติสมาธิแบบเดินจงกรม (โจเกียวโด) และการสวดพระสูตร (ฮกเคะโด)
- ไคซังโด (Kaisando) วิหารผู้ก่อตั้ง สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ท่านปรมาจารย์โชโด ผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้
- ศาลเจ้าคมโยอิน อินาริ (Komyoin Inari Shrine) ศาลเจ้าชินโตขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ สร้างอุทิศแด่เทพอินาริ เทพแห่งการเกษตรและการค้า
- วัดชูเซ็นจิ (Chuzenji Temple) หรือ ทาจิกิคันนน (Tachiki Kannon) แม้จะตั้งอยู่ริมทะเลสาบชูเซ็นจิ แต่ก็มีความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์กับวัดรินโนจิ เพราะสร้างโดยท่านโชโดเช่นกันในปี ค.ศ. 784 เป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมยืน (ทาจิกิคันนน) ที่แกะสลักจากต้นไม้ใหญ่
การเดินสำรวจอาคารต่างๆ เหล่านี้จะทำให้คุณได้เห็นภาพรวมความยิ่งใหญ่และความสำคัญของ วัดรินโนจิ ในฐานะศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
การเดินทางสู่ วัดรินโนจิ และข้อมูลควรรู้
การเดินทางไปยัง วัดรินโนจิ ในเมือง นิกโก้ (Nikko) นั้นสะดวกสบาย โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากโตเกียว
การเดินทางโดยรถประจำทาง วิธีที่สะดวกที่สุดคือการใช้รถบัส Tobu Bus ซึ่งมีจุดจอดใกล้กับวัด
- จากสถานี JR Nikko หรือ Tobu Nikko ขึ้นรถบัสสาย World Heritage Meguri Bus (สายสีเขียว วิ่งวนรอบแหล่งมรดกโลก) ไปลงที่ป้าย หมายเลข 83 Omotesando จากนั้นเดินเท้าต่ออีกประมาณ 5 นาทีก็จะถึงบริเวณทางเข้าวัด
- Nikko Pass หากคุณวางแผนเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ในนิกโก้ การซื้อ Nikko Pass ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะครอบคลุมค่าเดินทางด้วยรถไฟ Tobu จากโตเกียว (สถานี Tobu-Asakusa) ไป-กลับ 1 รอบ และสามารถใช้ขึ้นรถบัส Tobu ในพื้นที่ที่กำหนดได้อย่างไม่จำกัดจำนวนครั้ง มี 2 ประเภทหลักคือ
- Nikko Pass All Area (ราคาประมาณ 4,600 เยน หรือ ~1,180 บาท) ใช้ได้ 4 วัน ครอบคลุมพื้นที่มรดกโลกทั้งหมด รวมถึงโซนทะเลสาบชูเซ็นจิ, คินุกาวะออนเซ็น และยูโมโตะออนเซ็น (เหมาะสำหรับคนเที่ยวหลายวันและไปไกลกว่าโซนมรดกโลก)
- Nikko Pass World Heritage Area (ราคาประมาณ 2,120 เยน หรือ ~545 บาท) ใช้ได้ 2 วัน ครอบคลุมเฉพาะรถไฟไป-กลับ และรถบัสในโซนมรดกโลก (วัดและศาลเจ้าต่างๆ รวมถึงวัดรินโนจิ) (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบราคาล่าสุดก่อนซื้อ)
ข้อมูลสำคัญ
- ที่อยู่ 2300 Sannai, Nikko, Tochigi 321-1431, Japan
- เวลาเปิด-ปิด โดยทั่วไปคือ 08:00 – 17:00 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายก่อนเวลาปิดประมาณ 30 นาที) อาจมีการเปลี่ยนแปลงเวลาในช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน-มีนาคม อาจปิด 16:00 น.) ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุด
- ค่าเข้าชม (โดยประมาณ)
- วิหารซันบุตสึโด (Sanbutsudo) 400 เยน (~100-110 บาท)
- หอสมบัติ + สวนโชโยเอ็น (Treasure House + Shoyoen) 300 เยน (~80-90 บาท)
- สุสานไทยูอิน (Taiyuin) 550 เยน (~140-150 บาท)
- บัตรรวม ซันบุตสึโด + ไทยูอิน 900 เยน (~230-240 บาท) (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบ ณ จุดจำหน่ายบัตร)
- เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ/ญี่ปุ่น) มีข้อมูลเพิ่มเติมและประกาศต่างๆ (สามารถค้นหา “Rinnoji Temple Official Website”)
- ข้อควรจำ วัดรินโนจิตั้งอยู่ใกล้กับ ศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine) และศาลเจ้าฟูตาระซัง สามารถวางแผนเที่ยวชมต่อเนื่องกันได้ในวันเดียว
ข้อมูลจาก : https://www.visitnikko.jp/
ทำไมต้องมาเยือน วัดรินโนจิ ? เสน่ห์ที่ต้องสัมผัส
วัดรินโนจิ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่วัดเก่าแก่ แต่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความน่าสนใจหลากหลายมิติ
- คุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นวัดที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยาวนานกว่า 1,250 ปี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก UNESCO (UNESCO World Heritage) เป็นส่วนหนึ่งของ “ศาลเจ้าและวัดแห่งนิกโก้” การมาเยือนที่นี่จึงเปรียบเสมือนการได้ย้อนเวลากลับไปสัมผัสอดีตอันรุ่งเรือง
- สถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง อาคารซันบุตสึโดคือตัวอย่างของสถาปัตยกรรมไม้ขนาดใหญ่ที่งดงามและแข็งแรง รวมถึงอาคารอื่นๆ และสุสานไทยูอินที่แสดงถึงศิลปะและความประณีตในยุคเอโดะ
- ความสำคัญทางศาสนา เป็นศูนย์กลางของความเชื่อที่ผสานพุทธและชินโต การได้สักการะพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ทั้งสามองค์ถือเป็นประสบการณ์ที่เปี่ยมด้วยความศรัทธาและความสงบ
- ความงามทางธรรมชาติ ที่ตั้งของวัดโอบล้อมด้วยป่าไม้และภูเขา และยังมี สวนโชโยเอ็น (Shoyoen Garden) ที่งดงามให้ได้ชื่นชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง ใบไม้เปลี่ยนสี นิกโก้ (Nikko Autumn Leaves) ที่งดงามจับใจ
- ความสะดวกในการเข้าถึง ตั้งอยู่ในโซนมรดกโลกของ นิกโก้ (Nikko) สามารถเดินทางมาได้ง่าย และอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ เช่น ศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine) ทำให้วางแผนเที่ยวได้สะดวก
Google Map : Rin’nōji Houmotsuden treasure house
ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเยี่ยมชม
- ฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน-พฤษภาคม) อากาศเย็นสบาย ดอกไม้นานาพันธุ์เริ่มผลิบาน
- ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) เขียวชอุ่ม แต่อาจมีฝนตกบ้าง
- ฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคม-พฤศจิกายน) เป็นช่วงที่สวยงามที่สุดช่วงหนึ่ง เพราะมีใบไม้เปลี่ยนสีสันสดใส โดยเฉพาะในสวนโชโยเอ็น
- ฤดูหนาว (ธันวาคม-มีนาคม) อากาศหนาวเย็น อาจมีหิมะปกคลุม ให้บรรยากาศที่เงียบสงบไปอีกแบบ
กิจกรรมพิเศษ
- พิธีโกฮันชิกิ (Gohanshiki Ceremony) จัดขึ้นในวันที่ 2 เมษายนของทุกปี เป็นพิธีกรรมเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์ ผู้เข้าร่วมพิธี (โดยเฉพาะตัวแทน) จะต้องทานข้าวปริมาณมาก เชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าโชคร้ายและนำมาซึ่งโชคดี เป็นพิธีที่หาชมได้ยาก
บทสรุป สัมผัสความยิ่งใหญ่ ณ วัดรินโนจิ
วัดรินโนจิ (Rinnoji Temple) คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมือง นิกโก้ (Nikko) ที่นี่ไม่ได้มอบเพียงแค่ความงดงามทางสถาปัตยกรรม หรือความร่มรื่นของธรรมชาติ แต่ยังมอบประสบการณ์ทางจิตวิญญาณและการเรียนรู้ประวัติศาสตร์อันลึกซึ้ง การได้เดินผ่านประตูวัด เข้าไปสักการะพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ในวิหารซันบุตสึโด เดินเล่นใน สวนโชโยเอ็น (Shoyoen Garden) ที่งดงาม และชื่นชมมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมากว่าพันปี จะสร้างความทรงจำอันน่าประทับใจให้กับการเดินทางของคุณอย่างแน่นอน
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ หลงใหลในสถาปัตยกรรม หรือเพียงต้องการหาสถานที่สงบเพื่อพักผ่อนจิตใจ วัดรินโนจิ ก็พร้อมต้อนรับนักเดินทางทุกท่านให้เข้ามาสัมผัสความยิ่งใหญ่และความศักดิ์สิทธิ์ ณ ใจกลางเมืองมรดกโลกแห่งนี้
ต้องการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นที่ผสมผสานทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และกิจกรรมที่ตรงใจ? การมีผู้เชี่ยวชาญช่วยออกแบบการเดินทางส่วนตัวก็เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยม Artralux พร้อมให้บริการออกแบบแพ็คเกจท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะคุณ ทีมงานจะช่วยสร้างสรรค์ตารางการเดินทางและกิจกรรมที่เหมาะสมกับความสนใจและงบประมาณ เพื่อให้คุณได้เพลิดเพลินกับการเดินทางอย่างสุขสบาย คุ้มค่า และน่าประทับใจที่สุด
แอดไลน์เพื่อวางแผนการท่องเที่ยว
สนใจติดต่อ Artralux ที่ 02-047-0083 หรือ ผ่านช่องทางไลน์ Line: @Artralux (มี @ นำหน้า)
📞 | 02-047-0083
💬 | (Line) https://bit.ly/3I9BJ42