“เที่ยววาติกัน” เป็นไฮไลท์สำคัญของผู้ทีเดินทางมาโรม สำหรับใครที่ชื่นชอบความงดงามทางสถาปัตยกรรมและการสร้างสรรค์ทางศิลปะ ต้องไม่พลาดกับการเดินทางมาชมกับนครรัฐวาติกัน (Vatican) ประเทศที่เล็ก ๆ ที่เป็นศูนย์กลางของคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก เพราะนครวาติกันนี้มีผลงานทางศิลปะอันยิ่งใหญ่ที่สร้างสรรค์โดยศิลปินดังชั้นแนวหน้าของโลกในยุคโบราณ รวมถึงมีงานด้านสถาปัตยกรรมสมัยยุคโบราณอันสวยงามให้คุณเดินชมแทบทุกตารางเมตร ซึ่งในแต่ละปีก็มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาชมเป็นจำนวนมากนับล้านคนต่อปี จนเรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของโลกที่ควรแวะมาดูสักครั้งในชีวิตเลยทีเดียว
นครรัฐวาติกัน เป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สำหรับใครที่เดินทางมาเที่ยว ณ อิตาลี ควรจะแวะมาเที่ยวดูสักครั้ง ซึ่งในบทความนี้ Artralux จะพาทุกท่านไปชมกับความอลังการงานสร้างของหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่นครรัฐวาติกัน ว่ามีจุดไฮไลท์ใดที่ต้องแวะมาชมให้ได้ ไปจนถึงข้อแนะนำด้านการเดินทาง และเรื่องน่ารู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับวาติกัน
แอดไลน์เพื่อวางแผนการท่องเที่ยว
พื้นที่ตั้งและความสำคัญของนครรัฐวาติกัน
วาติกันคือนครรัฐเล็ก ๆ ที่มีการปกครองเป็นเอกเทศ โดยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลกเนื่องจากมีพื้นที่ทั้งหมดเพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรที่เป็นบาทหลวงอาศัยอยู่รวมกันประมาณ 1,000 คน เท่านั้น แม้ว่าจะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่ก็อัดแน่นไปด้วยความอลังการของงานศิลปะและจิตวิญญาณของศาสนาคริสต์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงเป็นที่พำนักของสมเด็จพระสันตะปาปาซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของคริสตจักรด้วย
นครวาติกันตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรมประเทศอิตาลี ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำไทเบอร์ แม้ว่าวาติกันจะเป็นประเทศแต่ด้านสาธารณูปโภค เศรษฐกิจ การเมือง และด้านสังคม จะเชื่อมโยงกับประเทศอิตาลีทั้งสิ้น ผู้ที่ถือวีซ่ามาเที่ยวอิตาลีสามารถเที่ยววาติกันได้เลย หากอธิบายง่าย ๆ แล้ว วาติกันก็เหมือนเป็นเขตปกครองอิสระเล็ก ๆ ที่อยู่ภายในดินแดนของกรุงโรม ราวกับเป็นเขตพื้นที่ทางศาสนาแห่งหนึ่งในกรุงโรมที่สงวนไว้สำหรับพระสันตะปาปาและนักบวชนั่นเอง
ประวัติศาสตร์ของนครวาติกัน
ประวัติศาสตร์ของวาติกันถือกำเนิดควบคู่กับศาสนาคริสต์มาตั้งแต่ยุคโบราณ โดยชาวคริสต์เชื่อว่าแต่เดิมพื้นที่ของวาติกันเคยเป็นสถานที่ฝังศพของนักบุญเปโตร (หรือนักบุญปีเตอร์) หนึ่งในอัครสาวกคนสำคัญของพระเยซู จึงได้มีการสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวในช่วงปีศตวรรษที่ 4 ตามพระราชประสงค์ของจักรพรรดิคอนสแตนติน และก็ได้กลายมาเป็นศาสนสถานสำคัญตั้งแต่ยุคนั้นเป็นต้นมา
เมื่อถึงคราวอาณาจักรโรมันล่มสลาย ตำแหน่งพระสันตะปาปาผู้นำศาสนาก็ได้มีอำนาจมากขึ้น โดยครอบคลุมอำนาจทั้งทางศาสนาและการปกครอง พระสันตะปาปาแต่ละพระองค์ได้รวบรวมพื้นที่นครวาติกันและพยายามผลักดันให้เป็นเขตการปกครองพิเศษขึ้นมา จนกระทั่งดำเนินการสำเร็จในปี ค.ศ. 1929 จากการลงนามสนธิสัญญาลาเตรันปี ระหว่างพระสันตะปาปากับภาครัฐประเทศอิตาลี เป็นการจบปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตการปกครองที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของประเทศวาติกันจนถึงทุกวันนี้
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานครรัฐวาติกันนับว่ามีความสำคัญที่มากกว่าอาณาจักรของชาวคริสต์ เนื่องจากเป็นจุดมุ่งหมายของการแสวงบุญของผู้ศรัทธา นักท่องเที่ยว และนักวิชาการแขนงต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของโลกที่สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณและความสำคัญของวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ทางองค์กร UNESCO จึงได้ประกาศให้พื้นที่วาติกันนั้นเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1929
การเดินทางเข้านครรัฐวาติกัน
วาติกันตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรมประเทศอิตาลี จึงสามารถเดินทางได้ง่าย นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาอิตาลีด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมวาติกันได้เลย หากคุณอยู่ในกรุงโรม คุณสามารถเดินทางเข้าวาติกันได้จากการนั่งรถแท็กซี่ รถบัสโดยสาร หรือรถไฟใต้ดิน สำหรับกรณีที่คุณเพิ่งลงมาจากสนามบิน คุณสามารถนั่งรถไฟหรือรถประจำทางไปยังใจกลางเมือง แล้วต่อแท็กซี่หรือรถไฟใต้ดินไปยังนครวาติกันได้เช่นกัน
สำหรับใครที่ไปเที่ยวกรุงโรมและอยากเดินทางไปเที่ยวชมวาติกันง่าย ๆ เดินทางสบายและเป็นส่วนตัว คุณสามารถเลือกบริการเช่ารถพร้อมคนขับ ซึ่งจะทำให้คุณเที่ยวกรุงโรม-วาติกันได้ครบแทบทุกที่ โดย Artralux เองก็มีบริการเช่ารถดังกล่าวคอยรองรับกับความต้องการของคุณ
5 จุดไฮไลท์ที่ต้องชมในนครวาติกัน
St. Peter’s Basilica มหาวิหาร-เซนต์ปีเตอร์
ณ ใจกลางนครรัฐวาติกัน คุณจะได้พบกับ “มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ” สถาปัตยกรรมสุดอลังการที่ตั้งตระหง่านตัดกับเส้นขอบฟ้าราวกับเป็นวิมานจากสรวงสวรรค์ วิหารแห่งนี้เป็นศูนย์รวมความงดงามด้านวิจิตรศิลป์เนื่องจากได้ศิลปินและนักออกแบบชื่อดังในยุคนั้นหลายคนมาร่วมสร้างสรรค์ผลงาน เช่น โดย ไมเคิล แองเจอโล่, ราฟาเอล, บรามันเต, จาน ลอเรนโซ แบร์นีนี สะท้อนให้เห็นถึงอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ของยุคสมัยโบราณ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผลงานทางสถาปัตยกรรมเรอเนซองส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่เห็นกันในทุกวันนี้เริ่มต้นก่อสร้างในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ในปี ค.ศ. 1506 จนแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1621 เพื่อแทนวิหารเซนต์ปีเตอร์เดิมที่เคยก่อสร้างในสมัยจักรพรรดิโรมันคอนสแตนตินมหาราชในช่วงศตวรรษที่ 4 ที่เริ่มผุพังจากการใช้งานมานานนับพันปี โดยวิหารแห่งใหม่นั้นจะมีความอลังการและงดงามกว่าของเดิม เนื่องจากได้ศิลปินชื่อดังในยุคนั้นมาทำการออกแบบและสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะ ด้วยเหตุนี้วิหารเซนต์ปีเตอร์จึงได้กลายมาเป็นศาสนสถานที่สำคัญของชาวคริสต์นับแต่อดีตจนถึงยุคปัจจุบัน
วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นจากหินอ่อนทั้งหลัง มีความสูง 132 เมตร และยาว 211 เมตร ประดับประดาด้วยทองคำ และจิตรกรรมฝาผนัง ตรงกลางวิหารจัดทำโครงสร้างเป็นโดมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นโครงสร้างยอดนิยมของช่วงยุคสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 ตัวอาคารเชื่อมต่อกับลานจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ที่อยู่ด้านหน้า บริเวณเสาและผนังของโครงสร้างจะประดับไปด้วยศิลปะปูนปั้นอันละเอียดซับซ้อน ทำให้โดยรวมแล้วมีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ส่วนด้านในวิหารจะมีเสาขนาดใหญ่หลายร้อยต้นวางทอดตัวตามแนวทางเดินคอยรองรับน้ำหนักอาคาร เพดานตกแต่งด้วยโทนสีบลอนซ์ตัดกับสีขาวของวัสดุหินอ่อนทำให้ดูโดดเด่น และที่ผนังจะมีการประดับไปด้วยกระเบื้องโมเสกสวยงาม พร้อมมีงานประติมากรรมจำนวนมากคอยประดับตกแต่งภายใน
บริเวณตรงกลางของอาคารจะเป็นที่ตั้งของหลุมศพนักบุญเปโตร สาวกองค์สำคัญของพระเยซูและเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ที่วิหารยังเป็นที่ฝังพระศพของพระสันตะปาปาตั้งแต่อดีตจนถึงยุคปัจจุบันกว่า 90 พระองค์ด้วย ส่วนที่ประตูทางเข้าจะมีปิเอต้า ประติมากรรมหินอ่อนผลงานชิ้นเอกของไมเคิล แองเจอโล่ ตั้งไว้ ซึ่งประติมากรรมปิเอต้านี้ขึ้นชื่อว่าเป็นงานประติมากรรมที่มีความสวยงามอ่อนช้อย ราวกับเป็นมนุษย์จริง ๆ
แอดไลน์เพื่อวางแผนการท่องเที่ยว
จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Square)
เมื่อคุณก้าวเท้าแรกสู่พื้นที่ของอาณาเขตของนครรัฐวาติกัน สิ่งแรกที่คุณเห็นก็คือลานกว้างขนาดใหญ่อันเป็นที่ตั้งของจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งลานแห่งนี้จะเชื่อมต่อไปยังมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่อยู่ด้านใน เสมือนเป็นลานหน้าบ้านอันยิ่งใหญ่ตระการตาที่จะต้อนรับและนำพาผู้แสวงบุญก่อนเข้าไปยังพื้นที่อันศักดิ์นั่นเอง
จัตุรัสแห่งนี้สร้างขึ้นแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1655 เป็นผลงานอันแสนโดดเด่นของจาน ลอเรนโซ แบร์นีนี โดยให้กลิ่นอายที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปะเรอเนซองส์และศิลปะบาโรค ตัวจัตุรัสนั้นมีรูปทรงเป็นลานกว้าง ล้อมรอบด้วยเสาหินทรงโค้ง 140 ต้น โดยมีรูปปั้นนักบุญประดับอยู่บริเวณหัวเสา ราวกับเป็นอ้อมแขนของคริสตจักรคาทอลิกที่ต้อนรับผู้ศรัทธาจากทั่วทุกมุมโลก ให้ผู้เข้าชมรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรงใจกลางจัตุรัสจะมีเสาหินโอเบลิสต์ตั้งตระหง่านอยู่ โดยเป็นเสาหินที่นำเข้ามาจากเมืองเฮลิโอโอลิสของอารยธรรมอียิปต์โบราณ พร้อมกับมีน้ำพุสองแห่งคอยเสริมความสวยงามให้จัตุรัสด้วย
จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์มีความสำคัญในฐานะสถานที่ประกอบพิธีกรรมอันสำคัญทางศาสนา โดยพระสันตะปาปาจะออกมาทำพิธีกรรมอันสำคัญร่วมกับชาวคริสต์นับหมื่นคน เช่น พิธีมิสซาของสมเด็จพระสันตะปาปา พิธีเฝ้าอีสเตอร์ และพิธีมิสซาในวันคริสต์มาสอีฟ เรียกได้ว่านอกเหนือจากความงดงามทางสถาปัตยกรรมแล้วจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ยังเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณที่รวบรวมความจงรักภักดีของชาวคริสต์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษ
โบสถ์ซิสทีน (Sistine Chapel)
เป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างอันสำคัญที่อยู่ภายในนครรัฐวาติกัน เนื่องจากมีภาพจิตรกรรมอันสวยงามของไมเคิล แองเจอโล่ ที่โด่งดังวาดอยู่บนเพดาน โบสถ์ซิสทีนนั้นสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1483 เพื่อเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา โดยชื่อโบสถ์นั้นถูกตั้งตามชื่อสมเด็จพระสันตะปาปาซิกตัสที่ 4 บุคคลทางศาสนาอันสำคัญในยุคก่อน ปัจจุบันโบสถ์ซิสทีนแห่งนี้มีความสำคัญในฐานะสถานที่ทำพิธีเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ และงานพิธีกรรมอื่น ๆ อันสำคัญ
ตัวโครงสร้างของโบสถ์ซิสทีนได้รับการออกแบบโดยบัคโช ปอนเตลลี โดยนำความงดงามของศิลปะยุคคลาสสิกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมเรอเนซองส์ แม้ว่าภาพรวมของโบสถ์จะออกมาดูเรียบง่ายโดยมีแผนผังเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าและเพดานทรงโค้ง แต่กลับให้ความรู้สึกสง่างามอย่างลงตัว
ไฮไลท์ของโบสถ์แห่งนี้คงหนีไม่พ้นภาพจิตรกรรมสุดยิ่งใหญ่ที่สร้างสรรค์จาก ไมเคิล แองเจอโล่ โดยใช้เวลาวาดภาพตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1508 จนถึงปี ค.ศ. 1512 จึงแล้วเสร็จ เป็นเวลานานถึง 4 ปี โดยเป็นภาพเล่าเรื่องเกี่ยวกับ The Book of Genesis การสร้างโลกตามคติความเชื่อทางศาสนาตั้งแต่บรรพกาล ล่วงเลยมาจนถึงเหตุการณ์พระเจ้าให้กำเนิดมนุษย์คู่แรกอดัมกับอีฟ (The Creation of Adam) จนถึงวันพิพากษาที่เป็นวันแห่งการล่มสลายของมนุษยชาติ (The Last Judgement) เรียกได้ว่าโบสถ์ซิสทีนไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในวาติกันเท่านั้น แต่ยังเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอกระดับโลกที่ก้าวข้ามขอบเขตทางศาสนา จนมีผู้ชมมากมายทั่วโลกต่างต้องการแวะมาเชยชมภาพจิตรกรรมของไมเคิล แองเจอโร่ ณ ที่แห่งนี้
วาติกันมิวเซียม (Vatican Museums)
พิพิธภัณฑ์วาติกันนับเป็นศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรมอันสำคัญแห่งหนึ่งของศาสนาคริสต์ โดยจัดแสดงโบราณวัตถุ และงานศิลปะตั้งแต่อารยธรรมโบราณจนถึงยุคเรอเนซองส์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ได้มีแนวคิดจัดตั้งหอสมุดศาสนา และภายในหอสมุดนี้ก็มีการรวบรวมงานศิลปะต่าง ๆ จากทั่วโลก ของพระสันตะปาปาแต่ละรุ่นเรื่อยมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 18 จึงได้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยนำของเหล่านั้นมาจัดแสดงให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชม โดยมีสิ่งของจัดแสดงมากถึง 70,000 ชิ้นเลยทีเดียว
ภายในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงศิลปวัตถุต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่อารยธรรมอียิปต์โบราณ อารยธรรมโรมัน ศิลปะยุคเรอเนซองส์ แกลเลอรีภาพจากศิลปินชื่อดัง ของประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ตลอดจนมีการจัดนิทรรศการหมุนเวียนชั่วคราวเพื่อมอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้นักท่องเที่ยวได้ชม ภายในพิพิธภัณฑ์มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 54 ห้อง โดยแต่ละห้องจะแบ่งธีมตามประเภทของงานศิลปะ นักท่องเที่ยวจะได้รับความรู้และตระหนักถึงคุณค่าของงานศิลปะที่เคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยอดีต หากคุณมีความสนใจด้านประวัติศาสตร์ต้องชื่นชอบในการเดินชมวาติกันมิวเซียมแน่นอน
สวนวาติกัน (The Vatican Gardens)
พื้นที่ในนครวาติกันนอกจากจะมีสิ่งปลูกสร้างมากมายแล้ว ยังมีการแบ่งพื้นที่สีเขียวสร้างเป็นสวนภายในโดยครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของวาติกันเลยทีเดียว ภายในส่วนจะมีการปลูกพันธุ์ไม้ต่าง ๆ พร้อมตัดตำแหน่งและรูปทรงให้สวยงามตามสไตล์สวนยุโรป พร้อมกับมีน้ำพุ งานประติมากรรม และอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่าสวนวาติกันนั้นสร้างขึ้นในสมัยพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 3 ในช่วงศตวรรษที่ 13 และพระสันตะปาปาองค์ต่อ ๆ มาก็ได้มีการปรับพื้นที่หรือการปรับแต่งสไตล์สวนไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะมีภูมิทัศน์แตกต่างกัน จนถึงยุคปัจจุบันสวนวาติกันก็ได้มีการจัดออกมาให้ดูเป็นเอกลักษณ์อย่างร่วมสมัย พุ่มไม้และดอกไม้ภายในได้ถูกจัดแต่งอย่างประณีตโดยผสานความเป็นศิลปะไว้ร่วมกับความงามทางธรรมชาติ ภายในสวนมีสถานที่ไฮไลท์มากมายไม่ว่าจะเป็น เนินกลางสวนที่สามารถชมทัศนียภาพอันงดงามของกรุงโรมและมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ น้ำพุประติมากรรมนกอินทรี หอวิทยุวาติกัน หอดูดาววาติกัน เป็นต้น
โดยปกติแล้วสวนวาติกันจะถูกจำกัดพื้นที่สงวนไม่ให้คนทั่วไปเข้าชม ผู้ที่สนใจจะต้องซื้อแพคเกจทัวร์ชมสวนวาติกันกับทางไกด์เฉพาะทางเท่านั้น ผู้ที่ทัวร์สวนวาติกันจะได้สัมผัสกับความงดงามทางธรรมชาติ ที่ผสมผสานกับความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ปิดท้ายก่อนอำลานครรัฐวาติกันไป หากใครที่มาชมก็อย่าลืมถ่ายรูปเก๋ ๆ กับ Swiss Guard ทหารยามชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่อุทิศกายเป็นการ์ดประจำนครรัฐแห่งนี้มายาวนานนับร้อยปี จุดเด่นของ Swiss Guard คือการแต่งกายที่มีสีสันฉูดฉาดสะดุดสายตานักท่องเที่ยว เรียกได้ว่าเป็นทหารระดับพิเศษที่มีแห่งเดียวในโลกเท่านั้น!
ร้านอาหารและโรงแรมที่น่าสนใจใกล้นครรัฐวาติกัน
เนื่องจากวาติกันนั้นอยู่ในใจกลางกรุงโรมที่เป็นเมืองหลวง จึงเต็มไปด้วยโรงแรมที่พักมากมายให้คุณเลือก การพักโรงแรมใกล้วาติกันจะทำให้คุณเดินทางไปเยี่ยมชมง่าย และเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
โรงแรมชั้นนำใกล้กับวาติกัน
- Hotel Alimandi Vaticano โรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้กับนครวาติกันมาก ใช้เวลาเดินเพียงไม่กี่นาทีก็เข้าชมวาติกันได้เลย ห้องพักสะอาด ราคาไม่แพง ทำเลดีสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของเมืองได้เด่นชัด
- Hotel Columbus โรงแรมระดับ 4 ดาวที่มีการตกแต่งสไตล์ย้อนยุค อยู่ใกล้นครวาติกันพอประมาณ แขกที่มาพักสามารถเดินมาชมวาติกันได้
- Hotel dei Consoli โรงแรมหรูที่มีการตกแต่งสวยงามในสไตล์ยุคโบราณ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรมติดกับนครรัฐวาติกัน เดินทางสะดวก มีดาดฟ้าสำหรับชมทิวทัศน์อันงดงามของเมือง
ร้านอาหารใกล้วาติกัน
- La Pergola เป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนแท้ผสมกับแนวโมเดิร์น โดยตั้งอยู่ในโรงแรม Rome Cavalieri ซึ่งนับว่าเป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโรมเลยทีเดียว
- Roscioli ร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่ในใจกลางกรุงโรม โดยมีชื่อเสียงในเมนูพิซซ่าและพาสต้า รวมถึงไวน์ชั้นยอดอีกด้วย
- Pierluigi ร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับ Campo de’ Fiori โดยขึ้นชื่อในเมนูอาหารทะเล พร้อมไวน์ชั้นเลิศคอยบริการเสิร์ฟถึงคุณ
นครวาติกันนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าสนใจที่คนเดินทางไปทัวร์อิตาลีไม่ควรพลาด เพราะอยู่ใจกลางกรุงโรมจึงเดินทางมาง่าย มีรถสาธารณะหลายรูปแบบที่จะนำพาคุณเดินทางมาถึงนครแห่งนี้ การเดินทางมาชมวาติกันแบบเก็บครบทุกสถานที่จะใช้เวลาไม่นาน ประมาณครึ่งวันก็เที่ยวได้ทั่วประเทศแล้ว หากคุณสนใจต้องการมาเที่ยวอิตาลีแล้วอยากแวะชมนครรัฐอันศักดิ์สิทธิ์วาติกัน คุณสามารถติดต่อมาหาเรา Artralux เพื่อให้เราจัดโปรแกรมทัวร์สุด Private ให้เฉพาะคุณ หรือถ้าคุณอยากพักผ่อนในโรงแรมแถววาติกัน หรือต้องการร้านอาหารหรู ๆ เราก็มีบริการจองโรงแรมและร้านอาหารให้กบคุณด้วย นอกจากนี้ถ้าคุณอยากเดินทางเที่ยววาติกันและสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงโรมอย่างสบายใจเราก็มีบริการเช่ารถพร้อมคนขับไว้รองรับ
ทัวร์วาติกันครบจุใจ เก็บครบ สะดวกสบาย ได้ความหรูหราแบบส่วนตัว เรียกใช้บริการกับเรา Artralux เลย
สนใจติดต่อ Artralux ที่ 02-047-0083 หรือ ผ่านช่องทางไลน์ Line: @Artralux (มี @ นำหน้า)
📞 | 02-047-0083
💬 | (Line) https://bit.ly/3I9BJ42
แอดไลน์เพื่อวางแผนการท่องเที่ยว